28.2.15
THIS WAR OF MINE |
In This War Of Mine you do not play as an elite soldier, rather a group of civilians trying to survive in a besieged city; struggling with lack of food, medicine and constant danger from snipers and hostile scavengers. The game provides an experience of war seen from an entirely new angle.
The pace of This War of Mine is imposed by the day and night cycle. During the day snipers outside stop you from leaving your refuge, so you need to focus on maintaining your hideout: crafting, trading and taking care of your survivors. At night, take one of your civilians on a mission to scavenge through a set of unique locations for items that will help you stay alive.
Make life-and-death decisions driven by your conscience. Try to protect everybody from your shelter or sacrifice some of them for longer-term survival. During war, there are no good or bad decisions; there is only survival. The sooner you realize that, the better.
This War of Mine:
- Inspired by real-life events
- Control your survivors and manage your shelter
- Craft weapons, alcohol, beds or stoves – anything that helps you survive
- Make decisions - an often unforgiving and emotionally difficult experience
- Randomized world and characters every time you start a new game
- Charcoal-stylized aesthetics to complement the game's theme
16.2.15
Literature Work Group (Thai translated by Boat)
The Selfish Giant
ทุกๆวันในตอนบ่าย
พวกเด็กๆกลับจากโรงเรียนจะเข้ามาเล่นในสวนของยักษ์
สวนนั้นเป็นสถานที่กว้างใหญ่และสวยงาม มีหญ้าสีเขียวอ่อน ๆ มีดอกไม้ที่สวยงามขึ้นบนพื้นหญ้าคล้ายดวงดาวระยิบระยับและสวนยังมีต้นพีชช์
12 ต้น
ซึ่งในฤดูใบไม้ผลิก็จะแตกออกมาเป็นดอกพีชช์ที่ละเอียดอ่อนสีชมพูนวลดังไข่มุก และในฤดูใบใม้ร่วงต้นพีชช์ก็จะออกผลมากมาย
ในสวนมีนกเกาะบนต้นไม้และร้องเพลงอันไพเพราะซึ่งทำให้พวกเด็กๆนั้นหยุดกิจกรรมทุกอย่างเพื่อที่จะฟังนกร้องเพลง
“ช่างสุขใจเสียนี่กระไร” พวกเด็กๆร้องตะโกนบอกซึ่งกันและกัน
มาวันหนึ่งยักษ์ก็ได้เดินทางกลับมา
จากการที่เขาได้ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิทของเขา-เดอะคอนนิช โอเกอร์ เป็นเวลานานถึง
7 ปี หลังจากนั้นเขาไม่มีสิ่งที่จะเสวนากับเพื่อนของเขา
(เรียกได้ว่าพูดคุยจนหมดเปลือก)
ยักษ์จึงตัดสินใจที่จากลับมาพักยังปราสาทของเขา
และเมื่อมาถึงสวนของเขา ก็มองเห็นพวกเด็กๆกำลังวิ่งเล่นกันอยู่
“ พวกแกมาทำอะไรที่นี่ ฮึ” ยักษ์ตะโกนด้วยเสียงอันหยาบคาย ทำให้พวกเด็กๆ
วิ่งแจ้นออกไป
“ สวนของข้าก็คือ สวนข้า” ยักษ์เอ่ย “จงเข้าใจไว้ด้วยทุกคน
ข้าจะไม่อนุญาตให้ใครย่างกรายเข้ามาที่นี่ยกเว้นแต่ข้าเท่านั้น” ดังนั้น ยักษ์จึงได้ก่อกำแพงสูงรอบ ๆสวย
และติดป้ายประกาศเตือนไว้ว่า
“ ใครก็ตามที่บุกรุกเข้ามาในสวนของข้า
ข้าจะดำเนินการอย่างถึงที่สุด”
เขานี่แหละ คือ ยักษ์ผู้เห็นแก่ตัว
พวกเด็กๆ
ที่น่าสงสารไม่รู้ว่าจะไปเล่นที่ไหนดี
พวกเค้าก็พยายามที่จะเล่นบนถนน แต่ทว่าถนนนั้นก็เต็มไปด้วยฝุ่นกับหินแข็ง
ๆ ซึ่งพวกเด็กไม่ชอบเอาเสียเลย เมื่อเลิกเรียน พวกเขาก็ได้แต่เดินเตร็ดเตร่ไปรอบ
ๆ กำแพงสูงของสวนยักษ์ และ เอ่ยถึงความสวยงามของสวนที่อยู่ข้างหลังกำแพงนี้
“จะรู้สึกดีแค่ไหนถ้าพวกเราได้เข้าไปวิ่งเล่นอีก” พวกเด็กๆ บ่นซึ่งกันและกัน
หลังจากนั้น
ฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง
ทุกๆพื้นที่ในดินแดงแห่งนี้ เริ่มมีดอดไม้ที่กำลังเบ่งบานและฝูงนก ยกเว้นก็แต่...สวนของยักษ์ผู้เห็นแก่ตัวที่ยังคงติดแหงกอยู่ในฤดูหนาว-พวกนกก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะเข้าไปร้องเพลงในนั้นเพราะว่าไม่มีพวกเด็กๆอีกแล้ว
และต้นไม้ก็พากันหลงลืมที่จะผลิดอกออกใบ
ทันทีที่ดอกไม้พากันเหี่ยวเฉาลดช่อลงมาบนพื้นหญ้า
และเมื่อใครๆมองไปที่ป้ายคำเตือน
มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับเด็กๆที่พวกเค้าไม่อาจเข้ามาเล่นที่นี่ได้อีก
และต้องกลับบ้านไปนอน
จะมีก็แต่เจ้าหิมะและน้ำแข็งที่ชอบช่วงเวลานี้ที่สุด
“ ฤดูใบไม้่ผลิทอดทิ้งสวนแห่งนี้แล้ว” เจ้าน้ำแข็งเอ่ยขึ้น
“หรือพวกฉันจะได้อยู่ในส่วนแห่งนี้ไปอีกปี
เจ้าหิมะก็ได้ปกคลุมผืนหญ้า เสมือนกับเป็นผ้าคลุมผืนใหญ่สีขาว
แลเจ้าน้ำแข็งก็ฉาบเคลือบต้นไม้ทุกต้นจะเป็นสีเงินสะท้อน
และจากนั้นเจ้าหิมะกับเจ้าน้ำแข็งได้เชื้อเชิญเจ้าลมทิศเหนือให้มายังสวนแห่งนี้ ลมจากทิศเหนือแต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์
เจ้าลมทิศเหนือคำรามตลอดวันในสวน ลมพัดจนปล่องไฟล้มลง “มันคงเจ๋งสุดๆไปเลย”
เจ้าหิมะกับเจ้าน้ำแข็งเอ่ย
“ อีกอย่าง เราน่าจะขอให้เจ้าลูกเห็บมาที่ปราสาทแห่งนี้บ้าง ถ้าเค้ามาอะนะ
ให้เค้ามาถล่มทุกวันวันละสามชั่วโมงโดยตกใส่หลังคาของปราสาท ละก็..หลังคาที่เป็นหินของปราสาทพังลงมาแน่ๆ
เจ้าลูกเห็บน่ะจะวิ่งเล่นในสวนเร็วแค่ไหนก็ได้
และก็จะได้แต่งตัวด้วยเกราะสีเทา และลมหายใจของเค้าคงเป็นเหมือนน้ำแข็ง”
อีกด้านหนึ่ง
“ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฤดูใบไม้ผลิยังไม่มาถึงซักที” ยักษ์เอ่ย
ยักษ์จึงไปนั่งอยู่ริมหน้าต่างและมองออกไปข้างนอกมองเห็นสวนของเค้าเป็นสีขาวพลันปกคลุมด้วยความหนาวเย็น
“ ข้าหวังว่าน่าจะมีวิธีใดที่จะเปลี่ยนอากาศที่เป็นอยู่นี้ซักที”
แต่ทว่าฤดูใบไม้ผลิก็ยังไม่ย่างกรายเข้ามายังสวนสักที
ไม่แม้แต่ช่วงฤดูร้อน
มาจนถึงท่านฤดูใบไม้ร่วงทำให้ต้นไม้ทั้งดินแดนในทุกสวนออกผลสีทอง แต่สวนของยักษ์นั้นไม่ได้รับผลอะไรเลย
“ ยักษ์ มันเห็นแก่ตัวเกินไป “ ท่านฤดูใบไม้ร่วงเอ่ยขึ้น ดังนั้นสวนของยักษ์จึงเป็นฤดูหนาว
และลมเหนือก็มา ลูกเห็บก็มา
และเจ้าน้ำแข็งกับเจ้าหิมะต่างพากันเต้นระบำไปรอบๆต้นไม้
เช้าวันหนึ่ง
ยักษ์ตื่นนอนขึ้นมาได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะ เค้าคิดว่ามันจะต้องเป็นเสียงขบวนนักดนตรีของพระราชาผ่านมาเป็นแน่ แต่ทว่ากลับเป็นเพียงเสียงร้องเพลง
ของฝูงสกุณาตัวน้อยๆที่ขับขานอยู่นอกหน้าต่าง
แต่ก็คือนานมาแล้วที่ยักษ์ไม่เคยได้ยินเสียงนกร้องเพลง
ซึ่งดูจาเป็นเพลงที่ไพเราะที่สุดบนโลกใบนี้ จากนั้นเจ้าลูกเห็บก็หยุดตก และเจ้าลมทิศเหนือหยุดคำราม(พัด)
และยักษ์ก็ได้พรมน้ำหอมไปทั่วห้อง
“ข้าเชื่อว่าท่านฤดูใบไม้ผลิจะต้องมาถึงในที่สุด”
ยักษ์พูดและลุกจากเตียง และมองออกไปข้างนอก
สิ่งที่เค้าเห็นคือ ??????
เขามองออกไปด้วยความประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
ซึ่งกำแพงของสวนถูกเจาะอุโมงและพวกเด็กๆ กำลังพากันคลานเข้ามา พวกเด็กเข้ามานั่งบนกิ่งไม้ ต้นไม้ทุกๆต้น จะเห็นพวกเด็กตัวน้อย
และต้นไม้ก็รู้สึกยินดีที่ได้พบกับพวกเด็กๆ อีกครั้
เหล่าต้นไม้ก็ได้ผลิดอกขึ้นมาคลุมตัวเองและก็พากันโบกกิ่งไปในอากาศเบาๆ
เหนือศีรษะของเด็ก ๆ พวกนกบินเข้ามาส่งเสียงร้องเพลงด้วยความปลื้มปิติ
เหล่าดอกไม้พากันชูช่อเหนือผืนหญ้าอีกครั้ง และหัวเราะร่า
ช่างเป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าประทับใจยิ่งนัก
แต่ก็ยังมีมุมๆนึงในสวนที่ยังคงเป็นส่วนที่หนาวเย็น มุมที่ไกลออกไป
มีเพียงเด็กผู้ชายตัวเล็กมากๆคนนึงยืนตระหง่านอยู่ เค้าตัวเล็กมากๆเลย และเล็กจนไม่สามารถจะเอื้อมมือไปจับกิ่งไม้ได้
และเค้าได้แต่เดินไปรอบๆในมุมๆนั้น ร้องด้วยเสียงเบาๆ
ต้นไม้ในมุมนั้นก็ยังปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะ และเจ้าลมทิศเหนือก็ยังพัดและคำรามอยู่
“ ปืนขึ้นมาสิเจ้าหนูน้อย “ ต้นไม้เอ่ยขึ้น และต้นไม้ก็ได้โน้มกิ่งของเค้าลงให้มากที่สุดแต่เด็กผู้ชายตัวน้อยก็ยังตัวเตี้ยเกินไป
เจ้ายักษ์นั้นถึงกับใจสลายเมื่อมองดูเจ้าหนูน้อย
“ข้าดูเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนั้นเลยหรอ” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า
ทำไมฤดูใบไม้ผลิถึงไม่เข้ามาที่สวนของข้า
ข้าคิดตัดสินใจที่จะช่วยอุ้มเข้าเด็กน้อยขึ้นไปบนต้นไม้ และจะไปทุบกำแพงที่กั้นอยู่ทิ้งซะ
จากนั้นสวนของข้าจะเป็นสนามเด็กเล่นของของเค้าตลอดไป” ยักษ์กล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจและสำนึกผิด
ดังนั้น
เจ้ายักษ์จึงก้าวลงจากบันไดปราสาทและเปิดประตูหน้าปราสาทเบาเบา และมุ่งหน้าไปที่สวนของเค้า แต่ทว่า เมื่อพวกเด็กๆ เห็นยักษ์พวกเค้าก็ตกใจ
พากันวิ่งหนีไป
ทำให้สวนจู่ๆก็กลับกลายมาเป็นสวนฤดูหนาวอีกครั้งทันที จะมีเด็กผู้ชายหนูน้อยที่ไม่วิ่งหนี-นัยย์ตาของเค้าเต็มไปด้วยน้ำตา
และหนูน้อยมองไม่เหนว่ายักษ์กำลังเดินข้ามาหา ยักษ์ก็เลยคว้าเด็กผู้ชายจากด้านหลังและประคองเค้าไว้ในฝ่ามืออย่างนุ่มนวล และวางเด็กลงบนกิ่งไม้ –ต้นไม้ก็เปลี่ยนเป็นผลิดอกอีกครั้งหนึ่ง และนกก็พากันมาร้องพลงบนต้นไม้นั้น
และเด็กชายตัวน้อยก็เหยียดแขนก็เค้าไปจนโอบคอเจ้ายักษ์ และจูบยักษ์เบาๆ
และในขณะเดียวกันนั่นเองพวกเด็กๆคนนี้ได้สังเกตเห็น จึงคิดว่า
ยักษ์นั้นไม่ได้ดุร้ายอย่างที่พวกเขาคิด
พวกเด็กจึงกลับมาเล่นที่สวน
ทำให้สวนของยักษ์ก็กลับมาเป็นฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง “มันเป็นยกสวนของเจ้าแล้วนะ เจ้าเด็กน้อย” ยักษ์พูด
จากนั้นยักษ์ก็ได้หยิบขวานไปพังกำแพงของสวนทิ้งไป
และเมื่อผู้คนชาวเมืองเดินทางผ่านเพื่อไปตลาดในเวลากลางวัน 12.00 น พวกเค้าแลเห็นยักษ์เล่นกับพวกเด็กๆ
เหล่านั้นในสวนแบบที่เขาไม่เคยเหนมาก่อน
ตลอดทั้งวัน พวกเด็กๆเข้ามาเล่นในสวน และตกเย็นพวกเค้าได้กล่าวลาเจ้ายักษ์
“แต่ว่าเพื่อนตัวน้อยของพวกเจ้าไปไหนซะและล่ะ” ยักษ์ถามพวกเด็ก
“คือเจ้าเด็กผู้ชายตัวน้อยที่ข้าเคยอุ้มไว้บนต้นไม้น่ะ”-(เป็นเด็กชายที่ยักษ์รักมากที่สุด
เนื่องจากเค้าจูบเจ้ายักษ์)
“เราไม่ทราบครับว่าเขาไปไหน” พวกเด็กๆตอบ “เขาไม่อยู่แล้วมังครับ”
“พวกนายบอกเค้าให้แน่ใจว่าพรุ่งนี้มาเล่นด้วยกันได้นะ”- ยักษ์กล่าว แต่พวกเด็กๆบอก
ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่ใด
และก็ไม่เคยเห็นเด็กชายคนนั้นมาที่สวนอีกเลย นั่นทำให้เจ้ายักษ์รู้สึกเศร้ามาก
ทุกบ่ายของวัน เมื่อโรงเรียนเลิก พวกเด็กๆก็เข้ามาเล่นที่สวนของยักษ์
แต่เด็กผู้ชายคนที่ยักษ์โปรดปรานที่สุดกลับไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีกเลย ยักษ์ก็คงใจดีมีเมตตากับพวกเด็กๆทุกคน
เหลือเพียงแต่เพื่อนตัวน้อยคนแรกที่เจ้ายักษ์เฝ้ารำพึงรำพันถึงเค้า
“ข้าจะเจอเค้าได้อย่างไร” ยักษ์เอ่ยออกมาทุกครั้ง
หลายปีผ่านไป
เจ้ายักษ์เริ่มมีอายุมากและงุ่มง่าม เขาจึงไม่สามารถที่จะเล่นสนุกได้เหมือนวันวาน ดังนั้นเขาได้แต่นั่งบนอาร์มแชร์ตัวใหญ่
และเฝ้ามองพวกเด็กๆเล่นกันอย่างสนุกสนานและต่างชื่นชมสวนของเค้า “ข้ามีดอกไม้แสนสวยมากมาย” –ยักษ์เอ่ย
แต่พวกเด็กๆนี่แหละเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุดกว่าอะไรทุกอย่างของที่นี่”
ในที่สุด
เมื่อยามเช้าในฤดูหนาวก็มาเยือน
ยักษ์มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ขณะกำลังแต่งตัวอยู่
ยักษ์นั้นไม่เกลียดฤดูหนาวอีกเลยแล้วในตอนนี้เพื่อที่เขาอาจรู้เพียงว่าฤดูใบไม้ผลิได้จากไปแล้ว
และพวกดอกไม้กำลังจะจำศีล
ทันใดนั้นเอง..... ยักษ์ยี้ตาด้วยความประหลาดใจจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเค้ามองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา มองไปตรงมุมที่ไกลออกไปของสวน เค้าเห็นต้นไม้มีผลิดอกขึ้นมาปกคลุมเป็นอันมาก
กิ่งของต้นเป็นสีทอง
และมีผลไม้สีเงินแขวนอยู่บนต้น
และใต้ต้นไม้มีเด็กผู้ชาย-คนที่เจ้ายักษ์รักมากที่สุดยืนอยู่
ยักษ์จึงรีบวิ่งลงบันไดด้วยความยินดีมาก
มุ่งตรงไปยังสวน
รีบเร่งผ่านผืนหญ้าตรงไปใกล้กับเด็กๆชายคนนี้
เมื่อเค้าเข้าไปใกล้เด็กหน้าของยักษ์เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ-
ยักษ์พูดขึ้นมาว่า “ ใครกล้าดียังไงที่ ที่ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ”
เพราะว่ายักษ์นั้นเห็นฝ่ามือของเด็กชายมีรอยเล็บสองรอยฝังอยู่
ที่มือและที่เท้า เช่นกัน
“ใครกล้าทำกับเจ้าจนเป็นแผลขนาดนี้”
ยักเอ่ยขึ้น “บอกข้าสิ –ข้าจะไปหยิบดาบมาฆ่ามันซะเดี่ยวนี้เลย”
“เปล่าหรอกท่าน” เด็กชายตอบ
“แต่แผลเหล่านี้คือแผลแห่งความรัก”
“ใครใช้ให้ล้อเล่น” ยักษ์ตอบกลับ –และเริ่มใจไม่ค่อยดี ยักษ์จึงคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กชาย
หลังจากนั้นเด็กชายก็ส่งยิ้มตอบเบา ๆ และพูดกับยักษ์เป็นครั้งสุดท้ายว่า “
ขอฉันวิ่งเล่นในสวนของท่านอีกสักครั้งได้ไหม” และวันนี้ท่านจะมาเล่นในสวนของฉันก็ได้นะ-สวนของฉันคือสรวงสวรรค์
หลังจากนั้น ในตอนบ่าน พวกเด็กนักเรียนได้พากันมาเล่นที่สวนตามปกติ
พวกเค้าพบเจ้ายักษ์นอนตายอย่างสงบใต้ร่มไม้
ที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีขาวที่เบ่งบาน.......จบ
Subscribe to:
Posts (Atom)