16.2.15

Literature Work Group (Thai translated by Boat)

The Selfish Giant
ทุกๆวันในตอนบ่าย พวกเด็กๆกลับจากโรงเรียนจะเข้ามาเล่นในสวนของยักษ์ 

สวนนั้นเป็นสถานที่กว้างใหญ่และสวยงาม มีหญ้าสีเขียวอ่อน ๆ มีดอกไม้ที่สวยงามขึ้นบนพื้นหญ้าคล้ายดวงดาวระยิบระยับและสวนยังมีต้นพีชช์ 12 ต้น ซึ่งในฤดูใบไม้ผลิก็จะแตกออกมาเป็นดอกพีชช์ที่ละเอียดอ่อนสีชมพูนวลดังไข่มุก  และในฤดูใบใม้ร่วงต้นพีชช์ก็จะออกผลมากมาย  ในสวนมีนกเกาะบนต้นไม้และร้องเพลงอันไพเพราะซึ่งทำให้พวกเด็กๆนั้นหยุดกิจกรรมทุกอย่างเพื่อที่จะฟังนกร้องเพลง “ช่างสุขใจเสียนี่กระไร” พวกเด็กๆร้องตะโกนบอกซึ่งกันและกัน

          มาวันหนึ่งยักษ์ก็ได้เดินทางกลับมา จากการที่เขาได้ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิทของเขา-เดอะคอนนิช โอเกอร์ เป็นเวลานานถึง 7 ปี หลังจากนั้นเขาไม่มีสิ่งที่จะเสวนากับเพื่อนของเขา (เรียกได้ว่าพูดคุยจนหมดเปลือก) ยักษ์จึงตัดสินใจที่จากลับมาพักยังปราสาทของเขา  และเมื่อมาถึงสวนของเขา ก็มองเห็นพวกเด็กๆกำลังวิ่งเล่นกันอยู่

“ พวกแกมาทำอะไรที่นี่ ฮึ” ยักษ์ตะโกนด้วยเสียงอันหยาบคาย ทำให้พวกเด็กๆ วิ่งแจ้นออกไป

“ สวนของข้าก็คือ สวนข้า” ยักษ์เอ่ย “จงเข้าใจไว้ด้วยทุกคน  ข้าจะไม่อนุญาตให้ใครย่างกรายเข้ามาที่นี่ยกเว้นแต่ข้าเท่านั้น”  ดังนั้น ยักษ์จึงได้ก่อกำแพงสูงรอบ ๆสวย และติดป้ายประกาศเตือนไว้ว่า
“ ใครก็ตามที่บุกรุกเข้ามาในสวนของข้า ข้าจะดำเนินการอย่างถึงที่สุด”
เขานี่แหละ คือ ยักษ์ผู้เห็นแก่ตัว
          พวกเด็กๆ ที่น่าสงสารไม่รู้ว่าจะไปเล่นที่ไหนดี  พวกเค้าก็พยายามที่จะเล่นบนถนน แต่ทว่าถนนนั้นก็เต็มไปด้วยฝุ่นกับหินแข็ง ๆ  ซึ่งพวกเด็กไม่ชอบเอาเสียเลย  เมื่อเลิกเรียน พวกเขาก็ได้แต่เดินเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ  กำแพงสูงของสวนยักษ์ และ เอ่ยถึงความสวยงามของสวนที่อยู่ข้างหลังกำแพงนี้ “จะรู้สึกดีแค่ไหนถ้าพวกเราได้เข้าไปวิ่งเล่นอีก” พวกเด็กๆ บ่นซึ่งกันและกัน
          หลังจากนั้น ฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง  ทุกๆพื้นที่ในดินแดงแห่งนี้ เริ่มมีดอดไม้ที่กำลังเบ่งบานและฝูงนก  ยกเว้นก็แต่...สวนของยักษ์ผู้เห็นแก่ตัวที่ยังคงติดแหงกอยู่ในฤดูหนาว-พวกนกก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะเข้าไปร้องเพลงในนั้นเพราะว่าไม่มีพวกเด็กๆอีกแล้ว และต้นไม้ก็พากันหลงลืมที่จะผลิดอกออกใบ  ทันทีที่ดอกไม้พากันเหี่ยวเฉาลดช่อลงมาบนพื้นหญ้า และเมื่อใครๆมองไปที่ป้ายคำเตือน  มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับเด็กๆที่พวกเค้าไม่อาจเข้ามาเล่นที่นี่ได้อีก และต้องกลับบ้านไปนอน  จะมีก็แต่เจ้าหิมะและน้ำแข็งที่ชอบช่วงเวลานี้ที่สุด

“ ฤดูใบไม้่ผลิทอดทิ้งสวนแห่งนี้แล้ว” เจ้าน้ำแข็งเอ่ยขึ้น “หรือพวกฉันจะได้อยู่ในส่วนแห่งนี้ไปอีกปี

เจ้าหิมะก็ได้ปกคลุมผืนหญ้า  เสมือนกับเป็นผ้าคลุมผืนใหญ่สีขาว แลเจ้าน้ำแข็งก็ฉาบเคลือบต้นไม้ทุกต้นจะเป็นสีเงินสะท้อน  และจากนั้นเจ้าหิมะกับเจ้าน้ำแข็งได้เชื้อเชิญเจ้าลมทิศเหนือให้มายังสวนแห่งนี้  ลมจากทิศเหนือแต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์ เจ้าลมทิศเหนือคำรามตลอดวันในสวน ลมพัดจนปล่องไฟล้มลง  “มันคงเจ๋งสุดๆไปเลย” เจ้าหิมะกับเจ้าน้ำแข็งเอ่ย 

“ อีกอย่าง เราน่าจะขอให้เจ้าลูกเห็บมาที่ปราสาทแห่งนี้บ้าง  ถ้าเค้ามาอะนะ ให้เค้ามาถล่มทุกวันวันละสามชั่วโมงโดยตกใส่หลังคาของปราสาท ละก็..หลังคาที่เป็นหินของปราสาทพังลงมาแน่ๆ  เจ้าลูกเห็บน่ะจะวิ่งเล่นในสวนเร็วแค่ไหนก็ได้ และก็จะได้แต่งตัวด้วยเกราะสีเทา และลมหายใจของเค้าคงเป็นเหมือนน้ำแข็ง”

อีกด้านหนึ่ง “ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฤดูใบไม้ผลิยังไม่มาถึงซักที” ยักษ์เอ่ย  ยักษ์จึงไปนั่งอยู่ริมหน้าต่างและมองออกไปข้างนอกมองเห็นสวนของเค้าเป็นสีขาวพลันปกคลุมด้วยความหนาวเย็น

“ ข้าหวังว่าน่าจะมีวิธีใดที่จะเปลี่ยนอากาศที่เป็นอยู่นี้ซักที”

แต่ทว่าฤดูใบไม้ผลิก็ยังไม่ย่างกรายเข้ามายังสวนสักที ไม่แม้แต่ช่วงฤดูร้อน   มาจนถึงท่านฤดูใบไม้ร่วงทำให้ต้นไม้ทั้งดินแดนในทุกสวนออกผลสีทอง  แต่สวนของยักษ์นั้นไม่ได้รับผลอะไรเลย

“ ยักษ์ มันเห็นแก่ตัวเกินไป “ ท่านฤดูใบไม้ร่วงเอ่ยขึ้น  ดังนั้นสวนของยักษ์จึงเป็นฤดูหนาว และลมเหนือก็มา ลูกเห็บก็มา และเจ้าน้ำแข็งกับเจ้าหิมะต่างพากันเต้นระบำไปรอบๆต้นไม้

          เช้าวันหนึ่ง ยักษ์ตื่นนอนขึ้นมาได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะ เค้าคิดว่ามันจะต้องเป็นเสียงขบวนนักดนตรีของพระราชาผ่านมาเป็นแน่  แต่ทว่ากลับเป็นเพียงเสียงร้องเพลง ของฝูงสกุณาตัวน้อยๆที่ขับขานอยู่นอกหน้าต่าง

แต่ก็คือนานมาแล้วที่ยักษ์ไม่เคยได้ยินเสียงนกร้องเพลง  ซึ่งดูจาเป็นเพลงที่ไพเราะที่สุดบนโลกใบนี้  จากนั้นเจ้าลูกเห็บก็หยุดตก   และเจ้าลมทิศเหนือหยุดคำราม(พัด) และยักษ์ก็ได้พรมน้ำหอมไปทั่วห้อง  ข้าเชื่อว่าท่านฤดูใบไม้ผลิจะต้องมาถึงในที่สุดยักษ์พูดและลุกจากเตียง และมองออกไปข้างนอก

สิ่งที่เค้าเห็นคือ ??????
เขามองออกไปด้วยความประหลาดใจอย่างถึงที่สุด ซึ่งกำแพงของสวนถูกเจาะอุโมงและพวกเด็กๆ กำลังพากันคลานเข้ามา  พวกเด็กเข้ามานั่งบนกิ่งไม้  ต้นไม้ทุกๆต้น จะเห็นพวกเด็กตัวน้อย และต้นไม้ก็รู้สึกยินดีที่ได้พบกับพวกเด็กๆ อีกครั้ เหล่าต้นไม้ก็ได้ผลิดอกขึ้นมาคลุมตัวเองและก็พากันโบกกิ่งไปในอากาศเบาๆ เหนือศีรษะของเด็ก ๆ  พวกนกบินเข้ามาส่งเสียงร้องเพลงด้วยความปลื้มปิติ  เหล่าดอกไม้พากันชูช่อเหนือผืนหญ้าอีกครั้ง  และหัวเราะร่า  ช่างเป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าประทับใจยิ่งนัก
แต่ก็ยังมีมุมๆนึงในสวนที่ยังคงเป็นส่วนที่หนาวเย็น  มุมที่ไกลออกไป มีเพียงเด็กผู้ชายตัวเล็กมากๆคนนึงยืนตระหง่านอยู่  เค้าตัวเล็กมากๆเลย  และเล็กจนไม่สามารถจะเอื้อมมือไปจับกิ่งไม้ได้ และเค้าได้แต่เดินไปรอบๆในมุมๆนั้น ร้องด้วยเสียงเบาๆ
ต้นไม้ในมุมนั้นก็ยังปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะ  และเจ้าลมทิศเหนือก็ยังพัดและคำรามอยู่

“ ปืนขึ้นมาสิเจ้าหนูน้อย “ ต้นไม้เอ่ยขึ้น และต้นไม้ก็ได้โน้มกิ่งของเค้าลงให้มากที่สุดแต่เด็กผู้ชายตัวน้อยก็ยังตัวเตี้ยเกินไป

เจ้ายักษ์นั้นถึงกับใจสลายเมื่อมองดูเจ้าหนูน้อย “ข้าดูเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนั้นเลยหรอ” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า ทำไมฤดูใบไม้ผลิถึงไม่เข้ามาที่สวนของข้า  ข้าคิดตัดสินใจที่จะช่วยอุ้มเข้าเด็กน้อยขึ้นไปบนต้นไม้  และจะไปทุบกำแพงที่กั้นอยู่ทิ้งซะ จากนั้นสวนของข้าจะเป็นสนามเด็กเล่นของของเค้าตลอดไป”  ยักษ์กล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจและสำนึกผิด
ดังนั้น  เจ้ายักษ์จึงก้าวลงจากบันไดปราสาทและเปิดประตูหน้าปราสาทเบาเบา  และมุ่งหน้าไปที่สวนของเค้า  แต่ทว่า เมื่อพวกเด็กๆ เห็นยักษ์พวกเค้าก็ตกใจ พากันวิ่งหนีไป  ทำให้สวนจู่ๆก็กลับกลายมาเป็นสวนฤดูหนาวอีกครั้งทันที  จะมีเด็กผู้ชายหนูน้อยที่ไม่วิ่งหนี-นัยย์ตาของเค้าเต็มไปด้วยน้ำตา  และหนูน้อยมองไม่เหนว่ายักษ์กำลังเดินข้ามาหา  ยักษ์ก็เลยคว้าเด็กผู้ชายจากด้านหลังและประคองเค้าไว้ในฝ่ามืออย่างนุ่มนวล  และวางเด็กลงบนกิ่งไม้ –ต้นไม้ก็เปลี่ยนเป็นผลิดอกอีกครั้งหนึ่ง  และนกก็พากันมาร้องพลงบนต้นไม้นั้น และเด็กชายตัวน้อยก็เหยียดแขนก็เค้าไปจนโอบคอเจ้ายักษ์ และจูบยักษ์เบาๆ และในขณะเดียวกันนั่นเองพวกเด็กๆคนนี้ได้สังเกตเห็น  จึงคิดว่า ยักษ์นั้นไม่ได้ดุร้ายอย่างที่พวกเขาคิด  พวกเด็กจึงกลับมาเล่นที่สวน ทำให้สวนของยักษ์ก็กลับมาเป็นฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง มันเป็นยกสวนของเจ้าแล้วนะ เจ้าเด็กน้อย” ยักษ์พูด
จากนั้นยักษ์ก็ได้หยิบขวานไปพังกำแพงของสวนทิ้งไป  และเมื่อผู้คนชาวเมืองเดินทางผ่านเพื่อไปตลาดในเวลากลางวัน 12.00 น  พวกเค้าแลเห็นยักษ์เล่นกับพวกเด็กๆ เหล่านั้นในสวนแบบที่เขาไม่เคยเหนมาก่อน

ตลอดทั้งวัน พวกเด็กๆเข้ามาเล่นในสวน และตกเย็นพวกเค้าได้กล่าวลาเจ้ายักษ์

“แต่ว่าเพื่อนตัวน้อยของพวกเจ้าไปไหนซะและล่ะ” ยักษ์ถามพวกเด็ก “คือเจ้าเด็กผู้ชายตัวน้อยที่ข้าเคยอุ้มไว้บนต้นไม้น่ะ”-(เป็นเด็กชายที่ยักษ์รักมากที่สุด เนื่องจากเค้าจูบเจ้ายักษ์)

“เราไม่ทราบครับว่าเขาไปไหน” พวกเด็กๆตอบ “เขาไม่อยู่แล้วมังครับ”

“พวกนายบอกเค้าให้แน่ใจว่าพรุ่งนี้มาเล่นด้วยกันได้นะ”- ยักษ์กล่าว แต่พวกเด็กๆบอก ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่ใด  และก็ไม่เคยเห็นเด็กชายคนนั้นมาที่สวนอีกเลย  นั่นทำให้เจ้ายักษ์รู้สึกเศร้ามาก

ทุกบ่ายของวัน เมื่อโรงเรียนเลิก  พวกเด็กๆก็เข้ามาเล่นที่สวนของยักษ์  แต่เด็กผู้ชายคนที่ยักษ์โปรดปรานที่สุดกลับไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีกเลย  ยักษ์ก็คงใจดีมีเมตตากับพวกเด็กๆทุกคน เหลือเพียงแต่เพื่อนตัวน้อยคนแรกที่เจ้ายักษ์เฝ้ารำพึงรำพันถึงเค้า “ข้าจะเจอเค้าได้อย่างไร” ยักษ์เอ่ยออกมาทุกครั้ง
          หลายปีผ่านไป เจ้ายักษ์เริ่มมีอายุมากและงุ่มง่าม เขาจึงไม่สามารถที่จะเล่นสนุกได้เหมือนวันวาน  ดังนั้นเขาได้แต่นั่งบนอาร์มแชร์ตัวใหญ่  และเฝ้ามองพวกเด็กๆเล่นกันอย่างสนุกสนานและต่างชื่นชมสวนของเค้า    “ข้ามีดอกไม้แสนสวยมากมาย” –ยักษ์เอ่ย   แต่พวกเด็กๆนี่แหละเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุดกว่าอะไรทุกอย่างของที่นี่”
          ในที่สุด เมื่อยามเช้าในฤดูหนาวก็มาเยือน

ยักษ์มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ขณะกำลังแต่งตัวอยู่  ยักษ์นั้นไม่เกลียดฤดูหนาวอีกเลยแล้วในตอนนี้เพื่อที่เขาอาจรู้เพียงว่าฤดูใบไม้ผลิได้จากไปแล้ว และพวกดอกไม้กำลังจะจำศีล

ทันใดนั้นเอง..... ยักษ์ยี้ตาด้วยความประหลาดใจจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง  เมื่อเค้ามองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา  มองไปตรงมุมที่ไกลออกไปของสวน  เค้าเห็นต้นไม้มีผลิดอกขึ้นมาปกคลุมเป็นอันมาก กิ่งของต้นเป็นสีทอง  และมีผลไม้สีเงินแขวนอยู่บนต้น  และใต้ต้นไม้มีเด็กผู้ชาย-คนที่เจ้ายักษ์รักมากที่สุดยืนอยู่  
ยักษ์จึงรีบวิ่งลงบันไดด้วยความยินดีมาก  มุ่งตรงไปยังสวน  รีบเร่งผ่านผืนหญ้าตรงไปใกล้กับเด็กๆชายคนนี้  เมื่อเค้าเข้าไปใกล้เด็กหน้าของยักษ์เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ- ยักษ์พูดขึ้นมาว่า “ ใครกล้าดียังไงที่ ที่ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ”  เพราะว่ายักษ์นั้นเห็นฝ่ามือของเด็กชายมีรอยเล็บสองรอยฝังอยู่ ที่มือและที่เท้า เช่นกัน


“ใครกล้าทำกับเจ้าจนเป็นแผลขนาดนี้” ยักเอ่ยขึ้น “บอกข้าสิ –ข้าจะไปหยิบดาบมาฆ่ามันซะเดี่ยวนี้เลย” 

“เปล่าหรอกท่าน” เด็กชายตอบ  “แต่แผลเหล่านี้คือแผลแห่งความรัก”

“ใครใช้ให้ล้อเล่น” ยักษ์ตอบกลับ –และเริ่มใจไม่ค่อยดี  ยักษ์จึงคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กชาย 
หลังจากนั้นเด็กชายก็ส่งยิ้มตอบเบา ๆ และพูดกับยักษ์เป็นครั้งสุดท้ายว่า “ ขอฉันวิ่งเล่นในสวนของท่านอีกสักครั้งได้ไหม” และวันนี้ท่านจะมาเล่นในสวนของฉันก็ได้นะ-สวนของฉันคือสรวงสวรรค์
หลังจากนั้น ในตอนบ่าน พวกเด็กนักเรียนได้พากันมาเล่นที่สวนตามปกติ พวกเค้าพบเจ้ายักษ์นอนตายอย่างสงบใต้ร่มไม้ ที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีขาวที่เบ่งบาน.......จบ

No comments:

Post a Comment